วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

My Volt Amp #0550 (2)


(6 ส.ค. 52)..

ปรับอีกแล้ว..

ประมาณวันที่หนึ่งของสามสิบกว่าวันที่ผ่านมา.. วันหนึ่งผมได้มีโอกาสเปิดเครื่องเสียงที่จัดไว้ที่ห้องรับแขกประกอบการนั่งทานข้าว คือเจ้าโรเทลฯ ดีวีดีไพโอเนียร์ และทำโพงเออาร์ฯ ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าปิดมันครั้งสุดท้ายเมื่อใด น่าจะมากกว่าร้อยแปดสิบวัน 55.. ทานข้าวดูทีวีฟังเครื่องเสียงไปพร้อมๆกัน ฟังไปๆ ชักรู้สึกเพลินกับเสียงเพลง จังหวะที่พอดีๆ แบบขยับเท้าตาม ความประทับใจเดิมก็กลับมา เด่นที่ความต่อเนื่องซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของโรเทลฯตัวนี้ สังเกตได้เช่น เสียงคีย์บอร์ดที่คุมโทนฯลากเสียงแบบแช่ยาวอยู่เบื้องหลัง หรือเสียงกลุ่มไวโอลิน ที่ลากเสียงยาวต่อเนื่องเป็นตัวตนไม่บางเบา.. คือทุกเสียงจะมีความต่อเนื่องแต่จะสังเกตได้เด่นชัดจากเสียงที่กล่าวไว้

อืมมม..ทำไงหล่ะทีนี้ อยากได้ไว้ฟังที่ห้องนอนมั้ง มานั่งคิดว่าทำไงดี คิดวิเคราะห์ไปเองว่าอะไรมันทำให้ลักษณะของเสียงเป็นแบบนั้น ภาคจ่ายไฟ?, เบอร์ทรานฯที่เลือกใช้? หรือทำวงจรที่สร้างเสียงให้ยาวขึ้น? ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น.. แล้วอะไรที่จะมีผลให้เสียงเครื่องหลอดของเราเป็นแบบนั้นหล่ะ และที่เราพอจะปรับจูนได้เอง.. ไปนั่งไล่ดูวงจรยี่ห้อที่มีชื่อฯทั้งหลาย ทั้งโซลิตฯ และหลอด สังเกตได้ว่า ส่วนใหญ่ใช้วงจรขยายมากกว่าหนึ่งสเต็จฯ ก็คิดไปเองว่า การขยายแบบหลายสเต็จอาจทำให้เกิดการดับเบิ้ลฯเอกลักษณ์เฉพาะ หรือแคเร็กเตอร์ของอุปกรณ์ขยายฯ ขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้สัญญาณขาออกมีเอกลักษณะเฉพาะที่ติดมามากขึ้นอีก เช่น ในปรีแอมป์ฯ เรานำหลอดจำนวน 4 หลอด มาใช้ขยายสัญญาณ โดยแบบแรกใช้วิธีขนานหลอด อีกแบบใช้อนุกรมหลอด ผมคิดว่าทั้งสองแบบให้เสียงต่างกัน แบบแรกน่าจะให้ความสดเที่ยงตรง เนื่องด้วยถูกขยายเพียงสเต็จฯเดียว ส่วนแบบที่สองขยาย 4 สเต็จฯ น่าจะตรงกันข้าม และเสียงอาจจะมีแคเร็กเตอร์ของหลอดที่นำมาขยายปะปนมามากกว่าแบบแรก..

ว่าแล้วก็ลองปรับวงจรกันอีกครั้ง 55.. จากวงจรเดิมก่อนหน้าฯ ก็ปรับแยกขยายส่งไม้แบบ 2 สเต็จ โดยผสมเสียงกันของหลอดสองเบอร์ แล้วเข้าไปปรับอิมพิแด็นซ์ที่ 6189 ก่อนจะส่งเข้าหลอดเอ๊าพุธฯ ต่อไป..

แนวเสียงที่เปลี่ยนไปผมเห็นว่า โทนนัลบาล้านซ์ดีขึ้น เสียงแหลมมากำลังดี ฟังแบบไม่ใช้ฟีดแบ็คฯ ก็กำลังพอดีๆ เลย วงจรเดิมยังรู้สึกว่าขาดไปหน่อย ต่อมาก็ไดนามิกค์ พลังมากขึ้น และสิ่งที่อยากได้คือความต่อเนื่องก็มากกว่าเดิม รวมๆแล้วฟังเพลงเพลินดี คนละฟิลกับความสดจริงจัง ได้ความรู้สึกที่อยากนำแผ่นโน้นแผ่นนี้มาฟังกันอีกรอบ.. นี่ก็ว่าจะต่อปรีฯ ตัวเดิมที่เคยยืมมาใช้เป็นภาค CF ของแอมป์ฯ มาต่อใช้งานร่วมกันด้วย ภาคไลน์ก็จะถูกขยายรวมกัน 3 สเต็จ.. ถึงตอนนี้ฟังวงจรนี้มาได้เดือนกว่าละครับ




วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

My Volt Amp #0550


"เรื่องเล่านี้ได้โพสไว้ที่บอร์ด http://www.htg2.net/ ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 2550"

http://www.htg2.net/index.php?topic=19994.0

หลอดกับผมเริ่มจากการซื้ออินทิเกร็ทแอมป์หลอด และปรีฯ ของเพื่อนที่ทำให้กับผู้ที่ต้องการสั่งทำเป็นรายได้เสริมของเขา

สำหรับสเป็กฯที่รับมา Integrated Voltage Amp push pull EL34(4 หลอด) Penthode with fixed bias (มีโวลุ่มปรับ), Line 5751 Anode Follower (1 หลอด) และภาคกลับเฟต 6189 Split load (2 หลอด), OPT ทำเอง, 4 Line input with Balance and Volume Control ปรีแอมป์ อีกตัว 6189 SRPP (2 หลอด) 4 Line input with balance and Volume

อุปกรณ์ที่ใช้งาน, ทดลอง..

CD : Rotel 865BX, Marantz CD52MkII
DVD : Pioneer-DV366, Yamaha DVD-S540
Amplifier : Rotel 820AX, NAD3020, Magnet PR1 + MA1, Magnet SA3, Yamaha E-600 Piano Craft Component, Yamaha RX-V340
Speaker : Wharfedale Daimond III, Polk Audio Diy (Car speaker), AR94R , Yamaha NS-P346 Set, 4" Diy (สองคู่), Subwoofer 12" By AMORN.
สายสัญญาณ : Diy, No name
สายลำโพง : Diy Telephone wire, No name

ผมเริ่มศึกษาจากหนังสือ "เครื่องเสียงแอมป์หลอด" , จากเว็บ DIY Journal by Praditchaya และจากเว็บอื่นๆ ปรึกษาท่านผู้รู้จุดประสงค์แรกก็เพื่อหากวันหนึ่งพบปัญหาข้อบกพร่องที่อาจจะเกิดกับแอมป์ฯของตัวเอง ก็พอจะตรวจซ่อมเองได้บ้าง ทดลองเสียงของแต่ละวงจร จูนเสียงให้ตรงกับรสนิยม และก็หวังที่จะทำวงจรของตัวเอง

เมื่อมีความรู้ระดับหนึ่งก็เริ่มลองปรับจูนฟีดแบ็คฯ เพราะง่ายดีเปลี่ยนค่าอาร์ฯไปเรื่อยๆ จากนั้นเบื่อๆ ก็ทดลองเปลี่ยนวงจรในแบบต่างๆ ที่มีตัวอย่างจากในหนังสือ และดาว์โหลดจากเว็บฯ เพื่อศึกษาผลทางเสียง และหาเสียงที่ถูกใจ แต่แล้วก็ยังไม่ถูกใจเสียทีกับเสียงแหลม, รายละเอียดของตัวเสียง และเวทีเสียงที่ยังไม่โปร่งใสดูมีตัวตนเท่าอินทิเกร็ทแอมป์โซลิตสเต็ทฯ ที่เคยใช้ร่วมกับซีสเต็มม์ฯ เดียวกัน ก็คิดว่ากับข้อจำกัดด้านคุณภาพของอุปกรณ์ที่ใช้อยู่คงทำได้เพียงเท่านี้

มาถึงตอนนี้วงจรก่อนหลังสุดที่ปรับเป็น ภาคอินพุธเข้า 6189 Cascode (ข้างละ 1 หลอด) ออกไปที่ ECC82 Split load (ข้างละครึ่งหลอด) แล้วออกไป EL34 (Penthode self bias) ก็ประทับใจวงจรนี้ วงจรคาสโคดฯ มีบุคลิกเสียงที่มีพลังนิ่งให้แบนด์วิธฯไดนามิกส์ฯที่กว้างขึ้นฟังอยู่เดือนกว่า ก็ยังรู้สึกถึงความโปร่งใสมีตัวตนในเวทีเสียงอย่างที่เคยฟังฯ ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนตัวแล้วก็ชอบวงจรโซลิตฯแบบบาลานซ์ ซึ่งดูวงจรแล้วจะใช้วงจรแยกเฟตกันตั้งแต่ภาคไลน์อินพุธกันเลย ผมก็เลยนำมาปรับมั่งเป็น ภาคอินพุธเข้ากลับเฟต ECC82 Split load (ข้างละครึ่งหลอด) ออกไปที่ 6189 Anode Follower (1 หลอดต่อข้างขยาย +, -) แล้วก็ออกไปที่ EL34 (Penthode self bias) ทีนี้เสียงดูโปร่งใสมีความนิ่งกระชับควบคุมการสั่นของลำโพงดีขึ้นเปิดได้ดังขึ้น พอใจและฟังพิจารณาไปอีกเดือนกว่าฯ

ช่วงหลังนี้ก็ไม่รู้จะปรับอะไรกับข้อจำกัดด้านอุปกรณ์ที่ใช้มีอยู่ พอดีได้ไปอ่านบททดสอบแอมป์ไฮเอ็นด์ฯ เห็นมีจุดเด่นที่อิมพิแด็นซ์ที่ต่ำจึงคิดนำมาปรับกับแอมป์ตัวเองอีกครั้งด้วยความคิดที่ว่าดูเหมือนมันจะเป็นคล้ายกับความต้านทานอย่างหนึ่ง หากทำให้ค่ายิ่งน้อยได้ยิ่งคงจะดีต่อการเดินทางของสัญญาณที่ขยาย ศึกษาและปรึกษาที่เว็บบอร์ดฯ ดูเหมือนว่าวงจร Cathode Follower จะให้ค่าอิมพิแด็นซ์ที่ต่ำจึงนำมาใช้กับวงจร ซึ่งแต่ก่อนแรกๆ เคยใช้มาแล้วในภาคไลน์ฯ

ทีนี้จะทำอย่างไรดี กะจะนำมาใช้ช่วยลดอิมพิแด็นซ์โดยต่อจากภาคขยายอินพุธ 6189 Anode Follower (1 หลอดต่อข้างขยาย +, -) จึงได้นำปรีฯ อีกตัวมาปรับใช้ร่วมกันได้พอดี ผลครั้งนี้เหมือนรอคอยมานาน ผมคิดว่าได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นกว่าครั้งไหนๆ ดีกว่าที่เคยฟังจากซิสเต็มม์ฯ ของผม.. เปิดฟังมาได้เกือบสองเดือนสุขใจกับครั้งนี้จริงๆ ได้สัมผัสกับพื้นฐานของคุณภาพเสียงที่ดีที่ซีสเต็มม์เล็กๆธรรมดาของเราให้ออกมา ดูคล้ายหลายๆซีสเต็มม์คุณภาพ ที่มีโอกาสได้ฟังอย่างติดหูฝังใจ กับซีสเต็มม์ฯนี้ วงจร Cathode Follower ที่เพิ่มเข้าไป ช่วยทำให้ตัวเสียงฟังดูปลดปล่อยผ่อนคลายละเอียดขึ้น ในความรู้สึกอุปทานเหมือนกับอะไรอย่างหนึ่งที่เคยหน่วงสัญญาณอยู่ได้หายไปหรือลดน้อยลง ทำให้ได้ยินรายละเอียดของตัวเสียงที่มากกว่าเดิม เวทีเสียงมีความโปร่งใสมากขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่าลำโพงคู่เดิมๆ ที่ตั้งนิ่งอยู่นั้นไม่ได้ต่อสายใช้งานแต่อย่างใด.. กับอุปกรณ์เท่านี้คงทำได้ดีเท่านี้นี่เอง ยังไม่ถึงกับหลุดทะลุมิติเข้าไปอยู่ในห้วงเสียงที่มีเพียงเรากับวงดนตรีบรรเลงอยู่ในห้องนี้อย่างคนพิเศษ..

ขณะที่มีความรู้สึกอยากนำแผ่นเพลงที่มีอยู่มาเปิดฟังใหม่ให้ครบทุกๆ แผ่น มันเป็นความรู้สึกสุขใจและแปลกใหม่สำหรับคนที่รับสัมผัสเช่นนี้ในครั้งแรก มันก็ตื่นเต้นแปลกใหม่เช่นนี้รึเปล่าครับ สำหรับผู้ที่เคยผ่านฯ มีประสบการณ์ทะลุมิติมาแล้วผมยินดีด้วยอย่างยิ่งผมหวังอยากได้รับประสบการณ์เช่นน้้นบ้างจริงๆ คงเป็นความรู้สึกที่วิเศษฯ เป็นสุขทุกๆครั้งที่ได้รับฟังดนตรีที่เสมือนจริง สำหรับผมกับจุดหมายนั้นคงต้องเดินทางกันอีกไกล แต่เพียงที่เป็นอยู่นี้ก็ดูสุขพอเพียงครับ

จากบรรทัดแรกจนถึงตัวอักษรนี้ 4 ปีครับ :S

*ก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเพิ่มหลอด Cathode Follower เข้าไปอีกๆ มันจะไปคงที่ที่ตรงไหนน่ะครับ..


ทั้งหมดที่เขียนเล่ามานั้นเป็นเพียงความคิดความรู้สึกของผม และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซีสเต็มม์ฯของผมแต่เพียงผู้เดียว และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง และยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับข้อแนะนำครับ

สามล้อ!

------------------------------------------------------------------------------------------

บทปรับปรุงทดลองต่อยอดหลังจากที่โพสฯ >>

(11 ก.ย. 50)..

..ตอนนี้ได้ปรับค่า Rk ของภาค cathode follower ให้เป็น R4k7 ตามด้วย R100k ดูเสถียรดีกว่า R1.5k ครับ



(8 พ.ค. 51)..

ปัจจุบันได้ปรับวงจรเป็นแบบนี้ ฟังเพลงได้เพราะขึ้นครับ >>


(16 ส.ค. 51)..

ฟังไปมาเกิดอยากฟังเสียงแบบคลาสเอเลยลองปรับวงจรตามรูปนี้ก็ฟังเพราะดีใช้มาได้ประมาณสามเดือนละคับ แต่แปลกใจที่เมื่อก่อนก็เคยปรับวงจรคล้ายๆแบบนี้แต่เสียงไม่ดีเลยกำลังก็ลดลงมากเปิดดังไม่ได้เลยครับ >>


(10 ก.พ. 52)..

ฟังไปได้อีกพัก ก็อยากลองแบบนี้ว่าเสียงจะเป็นไง ...ไม่ต่างกัน >>


ฟังมาได้อีกเกือบเดือน ก็หวนนึกถึง Cascode เลยปรับวงจรอีก.. ฟังครั้งนี้ได้สัมผัสกับคำนิยามเดิมที่เก็บในความจำ คือ อิ่มแน่น มั่นคง พลัง ครบเครื่อง เที่ยงตรงฯ >>


(21 เม.ย. 52)..

55.. ปรับอีกแล้ว เมื่อไหร่จะหยุดน่ะผม!.. ฟังมาได้เกือบสองเดือนละวงจรนี้ ..ทดลองใส่อาร์ 5k6 ป้อนกลับมาที่อินพุธฯ ตามอย่างวงจรโซลิตฯ เจ้าหนึ่ง!.. อืมม..รู้สึกถึงอนาลอคฯ มิติดี... อุปทานเปล่า 55.. >>


(25 เม.ย. 52)..

ว่าแล้วก็ลองต่อฟังได้สองวัน.. เสียงเพราะดีดูสุภาพมีระดับฯ ..กับวงจรนี้และชุดนี้ฯ โทนเสียงแตกต่างออกไป จากเดิมโปร่งสดใสฯ เป็นโทนอนาล็อกฯ ..เสียงอิ่มหนาใหญ่ต่อเนื่องมีบรรยากาศ เสียงแหลมดูมีเกลนเสียงอะเอียดเล็กเป็นเนื้อเดียวติดฉ่ำ.. เป็นความเห็นของผมครับ..>>


มีต่อตอนสอง.. http://sam-law.blogspot.com/2010/03/my-volt-amp-0550-2.html

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

SamLaw (Bose In-Ear Experience! (2))


"เรื่องราวนี้ผมได้โพสที่บอร์ดมั่นคงเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2552 จึงนำมาไว้ที่นี้ด้วย"

http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=20385

ก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องให้เขียนบอกเล่าได้อีกตอน เหตุคือความอยากและราคาอันเย้ายวน ทำให้ตัดสินใจเสี่ยงที่จะซื้อสินค้าที่ประกาศขายในบอร์ดฯ จึงขอนำมาเล่าเป็นประสบการณ์ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างเช่นเคยครับ ในที่นี้ผมไม่ขอเอ่ยถึงผู้ขายและแหล่งที่มาของบอร์ดฯ ซึ่งได้ตกลงกันด้วยความพอใจครับ..

"รับต่อมาจากกระทู้นี้ http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=18693 ยังดีที่แกรับซื้อคืนในราคาที่ผมเสนอ :S

และไม่นานก็อดใจไม่ไหวติดต่อรับมาจากกระทู้นี้ http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=21792
ซึ่งดูแล้วเสี่ยงมากแต่ก็หน้ามืดเสียแล้วหยุดไม่อยู่ ได้มาตอนใส่ฟังครั้งแรกลุ้นมาก โชคดีไปหนนี้เสียงเหมือนกับตัวที่มีอยู่เด๊ะๆ"


ด้วยความที่ชอบหูฟังของโบสอินเอียร์ฯ จึงมีความอยากได้อีกสักตัวจะได้ไม่ต้องพลัดกันฟังกับคุณเธอฯ วันหนึ่งก็เห็นประกาศในเว็บบอร์ดฯ จึงได้ติดต่อซื้อมา (เป็นประสบการณ์ซื้อผ่านเว็บบอร์ดครั้งแรก).. พอได้รับสินค้าเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ตรวจสอบดูก็ผิดหวังเล็กน้อยดูเก่ากว่าที่บอกไว้ที่บอร์ดฯ ตัวหูฟังดูมีตำหนิตรงรูช่องเปิดฝาบน (ผมคิดว่า) แต่ก็ไม่แน่ใจ เอาไว้เทียบกับตัวที่ผมซื้อจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศอีกที ซึ่งในขณะนี้อยู่กับคุณเธอฯ ใช้ที่กรุงเทพฯ และคิดว่าวันศุกร์ที่ 21 อีกสองวัน เธอคงจะขึ้นมา.. จะได้เปรียบเทียบกันให้แน่ใจ เนื่องจากมีข่าวว่ามีปลอมเยอะ แต่ก็ยอมเสี่ยงและติดต่อซื้อมา.. เปิดฟังเพลงก็ดูจะเป็นโทนเสียงคล้ายๆกันเท่าที่จำได้ ไม่รู้สึกแตกต่างในตอนนั้น... ..พอถึงวันศุกร์ก็ทราบข่าวว่าเธอไม่ได้กลับมาในสัปดาห์นี้ ก็อืมมม.. ไว้รอสัปดาห์หน้าก็ได้ แต่ก็หวั่นว่าอาจช้าไปหากสินค้ามีปัญหาขึ้นจริงๆ..

..ในระหว่างสัปดาห์ที่รอ “ของในฯ” (ในที่นี้ผมขอเรียกสินค้าที่ซื้อจากตัวแทนฯในประเทศ) ผมก็มีเวลาฟังของที่ซื้อมาจากเว็บบอร์ดฯ มากขึ้น (ผมขอเรียกว่า “ของในบอร์ดฯ” เพื่อความเข้าใจตรงกันในที่นี้) รับแจ้งว่ามาจากฮ่องกงฯ ..ฟังนานเข้าก็ตะหงิดๆขึ้นทุกวัน เช่น เกนเสียงไวกว่าที่เคยฟัง จำได้ว่าเพลงแรกของคอนเสิร์ตดาอีลูชั่นฯ และเพลงอื่นๆ เคยเปิดโวลุ่มที่วินโดว์เกือบสุด แต่ตัวนี้เปิดได้ประมาณเกินครึ่งมานิดหน่อย ก็ดูจะเร่งเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้แล้ว เสียงร้องจะดังเด่นขึ้นมาก และบรรยากาศเสียงร้องเด่นนำเหมือนฟังอยู่บนเวที ซึ่งจำได้ว่าฟังอัลบั้มนี้ฟิลฯดี ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ร่วมเป็นผู้ชมด้านล่างเวที เสียงเบสก็กระหึ่มมีน้ำหนักดีคือได้ฟิลฯเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ตจริงๆ ..และอีกอย่างที่ผมได้เคยแนะนำว่าให้ปรับอีคิวลดเบสเพิ่มแหลมนั้น ผมก็ได้ลองปรับตามที่เคยปรับฟังกับของในฯ ก็แปลกใจว่าทำไม ไม่จำเป็นต้องลดเบสเลย ฟังแบบแฟร็ทฯ ก็พอดีแล้วสำหรับเสียงเบส เสียงแหลมต้องเพิ่มอีกเล็กน้อย มันเริ่มกังวลขึ้นทุกวันไงก็ไม่รู้..

..พอค่ำวันศุกร์ที่ 28 ส.ค. มาถึงของอีกสัปดาห์ (ผ่านมา 9 วัน) ก็ได้ของในฯมาเปรียบเทียบ ผมก็ลุ้นให้เสียงมันเหมือนหรือคล้ายกันจะได้จบๆกันเสียที เริ่มจากดูพิจารณาเปรียบเทียบในส่วนต่างๆ ก็พบสิ่งที่ต่างกัน ที่เห็นชัดก็ตรงกระเปราะวงรีใกล้แจ็คเสียบฯ ของในบอร์ดฯจะเห็นเป็นร่องรูปโลโก้โบสฯทั้งสองด้าน ส่วนของในฯ อีกด้านจะเป็นสติ๊กเกอร์สี่เหลี่ยมรูปโลโก้และรหัสเรืองแสง, สายโทนเหลืองแสดงอายุการใช้งาน ของในฯ ซื้อเมื่อปลายเดือนกรกฏาคมฯ, ที่ตัวลำโพงผมคิดว่าน่าจะเป็นช่องรูเปิดฝาบนใกล้กับตะแกรงโลหะสีเงินนั้น มีรอยถูกงัดด้วยของแข็งจนเห็นขอบรูปูดนูนขึ้นด้านบนจากแรงงัดฯ ใช้เล็บลูบแคะเบาๆจะรู้สึกถึงรอยนูนขึ้นชัดเจนทั้งสองข้าง สำหรับของในฯ เรียบลื่น, ตรงรอยปิดประกบจากฝาบนไม่แนบสนิทมีลักษณะเหลื่อมทั้งสองข้าง ของในฯประกบสนิทเนี้ยบ เห็นจะๆแบบนี้แล้วใจหาย พลันนึกโดนแล้วแง๋ฯ.. ก่อนเทียบเสียงผมนึกลุ้นให้เสียงมันคล้ายกันหรือไม่หนีกันมาก ผมก็จะโอฯไม่ได้ติดใจรอยตำหนิใดๆ..

..กว่าจะได้ฟังก็เที่ยงคืน ทดสอบฟังแบบ AB Test เริ่มด้วยเพลงอัลบั้มดา อีลูชั่นคอนเสิร์ตฯ ฟังแฟร็ทฯไม่ใช้อีคิวฯ ฟังของในฯก่อนแบบเพลงต่อเพลงเทียบกัน ..แค่เพลงแรก “ภาพลวงตา” ผมเร่งความดังของวินโดว์ (มุ่มล่างด้านขวา) ที่ระดับ 85 ที่ Windows Media Player เร่งสุด จบเพลงลดโวลุ่มแล้วเปลี่ยนเป็นของในบอร์ดฯ .. โอ้!!!.........น้ำหนักเสียงเบสคนล่ะเรื่องกันเลย (ใจหายวาบ) ของในฯลึกหนักแน่นกว่ามากๆ โทนนุ่มคล้ายกันต่างกันที่ความลึกและน้ำหนักของเสียงต่ำ เสียงกลางพุ่งเปิดมากกว่าของในฯ ฟังๆไปจะเด่นที่เสียงกลางกับเบสที่นุ่มไม่ลึกไม่หนักแน่น เสียงแหลมโทนคล้ายๆกัน แต่ไม่เปิดมีปริมาณน้อยกว่าของในฯ และเร่งโวลุ่มได้แค่ 70 จึงจะรู้สึกว่าเสียงดังระดับเท่ากัน หากเร่งมากกว่านี้จะฟังไม่ได้ เสียงกลางเสียงร้องจะเด่นล้ำหน้าจนจัดจ้านไปเลย.. จากนั้นผมก็ทดลองฟังกับทุกๆแนว และได้ทดลองปรับอีคิวฯเพื่อชดเชยเพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบการตอบสนองความถึ่ของโทนเสียง เริ่มด้วยทดลองปรับอีคิวฯเพื่อให้ของในบอร์ดฯมีโทนเสียงคล้ายของในฯแบบแฟร็ทฯไม่ใช้อีคิวฯ ก็จะได้มาตามรูปนี้..


แต่เพิ่มความดังมากไม่ได้ เสียงแตกพลั๊กๆ ตัวไดร์เวอร์ไม่สามารถรองรับได้ ส่วนของในฯ เมื่อปรับแบบนี้แล้วสามารถเร่งความดังขึ้นไปได้อีกสบายๆ..

ต่อไปผมก็ลองปรับของในฯ ให้เสียงคล้ายของในบอร์ดฯแฟร็ทฯบ้าง ก็จะได้อีคิวฯตามรูปนี้..


..สรุป..ผมคิดว่าหูฟังตัวนี้น่าจะไม่ใช่ไดร์เวอร์รุ่นเดียวกันกับของในฯ คิดว่าน่าจะถูกดัดแปลงเปลี่ยนไดร์เวอร์ลำโพงฯอาจจะเป็นรุ่นก่อนหน้าก็เป็นได้ (สันนิษฐานไปเอง) แต่ก็ไม่เคยฟังรุ่นอื่นๆของโบสฯ.. ...........ฟ้าสางแล้ว เต็มไปด้วยความผิดหวัง ตาค้าง นึกแปลกกับตัวเองที่ฟังแยกไม่ออกตั้งแต่ต้นที่รับมา ต้องนำมาเทียบกันถึงขนาดนี้ ยังดีที่ผมมีของในฯใช้อยู่ คิดไปถึงคนอื่นๆคงลำบากหากไม่มีโอกาสเปรียบเทียบเหมือนผม

อีกวันผมได้นำหูฟังตัวนี้ไปปรึกษากับผู้จัดการที่ร้าน นีโอ เอ็นเตอร์เทนเมนท์แกลเลอรี่ฯ คุณวโรภาสฯ ที่ผมซื้อของในฯมาจากที่นี่ ให้แกช่วยดูถึงข้อแตกต่างตามที่ผมมีข้อสังเกต แกก็บอกยังไม่เคยเห็นของปลอมตัวจริงมาก่อน ตอนอบรมทางโบสฯแจ้งบอกว่าสินค้าปลอมเหมือนมาก จะให้แน่ใจต้องเปิดดูตรวจสอบตัวไดร์เวอร์ลำโพงกันเลย.. ตัวนี้ภายนอกดูเป็นของจริง ต่างกันที่สติ๊กเกอร์ตรงกระเปราะวงรีฯ ส่วนข้อสังเกตอื่นๆแกก็เห็นด้วยเสียงก็ต่างกัน แกได้โทรปรึกษากับทางอัศวโสภณฯ ก็ได้รับคำแนะนำต่างๆที่จะแจ้งต่อผู้ขาย และแกก็ให้ให้ความช่วยเหลือแจ้งว่าในกรณีที่ผู้ขายต้องการสอบถามปรึกษาสำหรับในกรณีของผมนี้ ให้แจ้งต่อผู้ขายให้โทรติดต่อแกที่ร้านได้ทุกเวลา ผมก็ขอขอบคุณแกมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

สำหรับข้อสังเกตที่ผมเห็นความแตกต่างจากสินค้า Bose In-Ear รุ่น 3 ที่ซื้อจากร้านนีโอฯ มีดังนี้..

1.ของในบอร์ดฯ กล่องพลาสติกใส ของในฯกล่องกระดาษ
2.ของในบอร์ดฯ ความยาวสายยาวกว่าประมาณ 3 นิ้ว
3.ของในบอร์ดฯ ตรงกระเปราะวงรีตำแหน่งใกล้แจ็คหูฟัง เป็นร่องรูปโลโก้ Bose อยู่ทั้งสองด้าน ของนอกมีเพียงด้านเดียว อีกด้านเป็นสติ๊กเกอร์รูปโลโก้ Bose และรหัสฯ เรืองแสงสะท้อนสองมิติฯ (ได้สอบถามผู้ใช้ที่ซื้อจากฟลอริด้าอเมริกาฯ มีลักษณะเช่นเดียวกับของในฯ)
4.ของในบอร์ดฯ เมื่อถอดจุกซิลิโคนข้างซ้ายจะเห็นหมายเลขหูฟัง 8203 ของในฯ 8361 (ได้สอบถามร้านมั่นคงสาขางามวงศ์วานฯ น้องผู้หญิงได้ช่วยตรวจสอบและแจ้งว่าที่ร้านทั้งห้าตัวเป็นเลขเหมือนกันทั้งหมด ผมจำได้แค่ว่าขึ้นต้นด้วยเลข 84.. คิดว่าน่าจะเป็นตัวเลขระบุล็อตฯที่ผลิต ไม่แน่ใจ แต่ตัวเลขแสดงความต่างกัน)
5.ของในบอร์ดฯ ตำแหน่งช่องรูเปิดฝาบน ใกล้กับตำแหน่งตะแกรงสีเงิน มีรอยถูกดันขึ้นด้วยของแข็งทั้งสองข้าง ของในฯเรียบลื่น
6.ของในบอร์ดฯ แสดงรอยปิดของฝาบนที่ไม่แนบสนิทมีลักษณะเหลื่อม ของในฯประกบกันเรียบแนบสนิท
7.ของในบอร์ดฯ ความไวลำโพงสูงกว่า เช่น เปิดที่ระดับโวลุ่ม 70 จะให้ระดับเสียงเท่าเสมอกันกับของในฯ ที่ 85
8.ของในบอร์ดฯ มีความลึกและน้ำหนักของเสียงเบสน้อยกว่า เสียงกลางล้ำหน้ามากกว่า เสียงแหลมมีปริมาณน้อยกว่า

ผมได้ถ่ายภาพเปรียบเทียบฯ สามารถเข้าชมได้ที่..

http://sam-law.blogspot.com/2009/09/bose-in-ear-comparison.html
http://sam-law.blogspot.com/2009/09/bose-in-ear-comparison-2.html
http://sam-law.blogspot.com/2009/09/bose-in-ear-comparison-3.html

ประสบการณ์อีกครั้งที่เล่ามานี้ สอนผมให้รู้ว่าอย่าเชื่อวางใจกับหูของตัวเองนัก.. และหวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์บ้างครับ

อ่อ...ขอเสริมอีกนิด เป็นความเห็นส่วนตัวโปรดใช้วิจารณญาณฯ สำหรับผู้ใช้หูฟังโบสอินเอียร์รุ่น 3 อาจทดสอบประสิทธิภาพของไดร์เวอร์ลำโพงตามวิธีของผมนี้ดู ใช้โปรแกรมวินโดว์มีเดียเพลเย่อร์ฯ เร่งโวลุ่มที่เพลเย่อร์สุด 100% เปิดเพลงที่มีจังหวะของเสียงเบส และปรับอีคิวฯ ตามแบบรูปนี้..


ทดสอบเพิ่มเร่งเสียงของวินโดว์ (มุมล่างด้านขวา) ขึ้นทีละน้อย จนมีระดับอยู่ระหว่าง 75 – 85% โดยที่ตัวไดรเวอร์ยังคงรองรับได้ไม่แสดงอาการสำลักฯ ก็คงพอจะเปรียบเทียบได้กับของในฯ ที่ผมใช้อยู่น่ะครับ ..สำหรับผมเวลาฟังปกติชอบปรับแบบนี้กับหูฟังตัวนี้ครับ


หากพบข้อผิดพลาดบกพร่องใดๆ ผมขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว และยินดีรับข้อแนะนำเสนอแนะครับ

ขอขอบคุณเว็บบอร์ดมั่นคงฯ และทุกๆท่าน ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงให้ไพเราะเพลิดเพลินครับ สวัสดี

สามล้อ,



SamLaw (Bose In-Ear Experience!)


"เรื่องเล่านี้ผมโพสที่บอร์ดมั่นคงฯตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. 2552 ถือโอกาสนำมาเก็บบันทึกไว้ด้วยเลย"

จากบทวิจารณ์ของคุณไมตรีฯ ผมก็ได้หูฟังโซนี่อี 484 มาฟัง ใช้มากว่าสิบปีก็มาพังลงกับมือ ส่งซ่อมรออยู่ปีเต็มได้แต่เงินใช้คืนมาหนึ่งพัน นำไปซื้อ อี 848 ใช้ได้สามเดือนพังอีก(มดกัด) ต่อมาก็ได้เซ็นฯ PX200 มาฟัง ใช้มาได้สามปี ฟองน้ำผุหมดสภาพ ก็เลยมองไปที่หูฟังแบบอินเอียร์ฯ อีกครั้ง เพราะพกพาสะดวกสวมใส่สบาย ...แล้วก็มาถึงเรื่องปวดหัวกันอีกครั้ง ทุกครั้งก็คิดหนัก อยากได้เสียงแบบ 484 หรือเสียงดีคุ้มค่าฯ ปัญหาคือร้านส่วนใหญ่ไม่มีให้ลองฟัง ตอน 848 ก็ไม่ได้ลองอาศัยดูโหง้วเฮ๊งเลขมันสลับกัน พอ PX200 ได้ลองฟังและยี่ห้อก็มีชื่ออยู่แล้ว เสียงก็ใช้ได้นิ่มใส ส่วนยี่ห้ออื่นๆ ไม่มีให้ลองเปรียบเทียบก็เลยได้มา.. ทั้งหมดเนี่ย หาให้เธอใช้

หาข้อมูลในเว็บ มาเจอเว็บมั่นคงฯ โอ้โห..มีให้ลองฟังแทบทุกรุ่น ข้อมูลครบครัน แจ๋วหล่ะทีนี้ ส่งตัวแทนไปฟัง ส่วนเธอก็หาข้อมูลและเล็งโบสฯ ไว้ก่อนแล้ว ..มาเล่าให้ฟังว่าลองโบสฯ แล้วทางร้านก็แนะนำให้ลองฟังอีกสองสามรุ่น น่าจะเป็น YUIN, Raptor, NuForce.. เสียงก็ดีพอๆกัน ส่วนเธอก็ทึ่งโบสฯ ที่ให้เสียงนุ่มใหญ่เกินตัว ฟังตัวอื่นแล้วเสียงเล็กไปหมด แต่ก็กั๊กๆ กับค่าตัวที่สูงเอาการ และอยากให้ผมได้ฟังก่อนตัดสินใจในครั้งนี้

กลับเชียงใหม่จัดแจงโทรติดต่อตัวแทนจำหน่ายแล้วไปฟังกัน ..ทันทีที่ผมสอดหูฟังเข้ารูหูและกดเพลย์ฯ โอ้โห.... เสียงเหมือนกดปุ่ม Loudness สองครั้ง คือปุ่มเดียวไม่พอขอเบิ้ลฯด้วยอีกปุ่ม โทนเสียงโดดเด่นที่เสียงโทนต่ำที่นุ่มลึก เสียงกลางเสียงร้องนุ่มอิ่มมี่ขนาดตัวเสียงที่ใหญ่เนื้อเสียงโปร่งพอดีไม่แน่น เสียงแหลมมีโทนสดใสตัวเสียงหรือเกรนเสียงที่เล็กดูเป็นเนื้อเดียว เฮ้อ!..แต่หาแทบไม่เจอ รวมๆ แล้วดาร์คฯ มากๆ เมื่อฟังแฟรทฯ โทนโดยรวมไปทางกลางต่ำสดใสน้อย ไม่น่าเชื่อว่าโบสฯจะจูนเสียงออกมาแนวนี้ ออกจากร้านด้วยความผิดหวัง และก็กั๊ก.. ร้านได้แนะนำให้ไปลองฟัง Shure และ JBL ที่มหาจักรฯ.. พออีกวันก็แวะไปฟังกัน.. ลอง JBL รุ่นเล็กสุดมั้งจำไม่ได้ที่ราคาสามพันกว่า ส่วน Shure มีสแตนด์ฯ ตัวเดโมฯ ให้ฟังครบทุกรุ่น ราคาเริ่มตั้งแต่สี่พันยันสองหมื่น เยี่ยมจริงๆ.. เสียงก็ดีเด่นกันคนละแนว ชอบเสียง JBL ฟังเสียงร้องเสียงเครื่องดนตรีมีเนื้ออิ่มเรียบพอดีๆได้อารมณ์ เป็นกลางดี ส่วนชัวร์ฯ ตัวสองหมื่นก็ครบเครื่อง เร้นท์ที่กว้างทั้งปลายทุ้มปลายแหลม ราคาสูงไปหน่อยหากได้สักสี่ห้าพันนี่คิดหนักเลย..

วันต่อมา..อืมมม!!... เอาไงดี เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ฟังยี่ห้ออื่นๆ ตามที่หาข้อมูลไว้ ..ใจก็คิดถึงโบสฯ แต่ก็กั๊กๆ ที่ฟังแบบแฟรทฯ แทบไม่ได้ แต่ผมก็นึกทึ่งในเสียงทุ้มที่นุ่มลึกนั้น เสียงกลางที่อิ่มใหญ่ และทึ่งที่ให้ตัวเสียงได้ใหญ่เกินตัวหยั่งกับฟังหูฟังแบบครอบหู ขนาดเสียงทุ้มแรงขนาดนั้นตัวลำโพงยังไม่สำลัก มันรองรับกำลังขับได้ดี สะท้อนถึงคุณภาพของดอกลำโพง แต่เสียงแหลมนี่สิให้มาน้อยจริง

...ปิ๊งง!..นึกออกละ ตกลงว่าจะไปลองฟังกันอีกครั้ง ทีนี้หากจูนแล้วชอบก็จะพาเข้าบ้านเลย... ไปขอลองฟังอีกครั้ง ผมก็ฟังไปปรับอีคิวฯไป ใช้เครื่องเล่นของโซนี่ที่มีอยู่ห้าแบนด์ฯ ปรับฟังอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง.. โอเค!..ลองไปอยู่ด้วยกันดู ถึงตอนนี้ก็ฟังมาได้สองสัปดาห์ เสียงเพลงเพราะฟังเพลินทุกครั้งที่ฟัง

ภาพอีคิวฯ จาก Windows Media Player ดูคล้ายเกย์หน้าปัดเครื่องบินที่แสดงว่ากำลังเลี้ยวเอียงไปทางซ้าย เมื่อจูนเสียงแหลมยกขึ้นและลดทุ้มลงให้มีความพอดีกลมกลืนกับเสียงกลาง ทำให้โทนเสียงกลมกล่อมขึ้น ลักษณะเสียงแหลมมีโทนเสียงที่สดใสมีเกรนฯ เนื้อเสียงที่ละเอียดเล็กติดฉ่ำได้ ทำให้ฟังดูกลืนกับเสียงกลางเป็นเนื้อเดียวกัน ให้โทนเสียงกลางมีความโปร่งเนียนเนื้อเสียงพอดีๆ และเสียงแหลมแบบนี้ฟังได้นานไม่ล้าหู

สรุป Bose In-Ear Gen. III ในความเห็นผม เป็นหูฟังที่ต้องใช้ร่วมกับอีคิวฯ ให้โทนเสียงไปทางกลางต่ำ เสียงอิ่มนุ่มลึก ให้ตัวเสียงร้อง เสียงเครื่องดนตรีมีขนาดใหญ่ แนวอนาล็อกฯ คล้ายฟังจากเครื่องหลอดฯ ฟังได้นานไม่ล้าหู ใส่สบายไม่อึดอัดเหมาะกับ Music Lover ครับ


*ปล. เป็นความเห็นของผมแต่เพียงผู้เดียว และหวังว่าเรื่องเล่านี้คงพอจะเป็นประโยชน์บ้างกับผู้ที่ต้องการข้อมูลเช่นเดียวกับผม

สามล้อ,

**มีต่อตอนสอง..** http://sam-law.blogspot.com/2010/03/samlaw-bose-in-ear-experience-2.html

(24 มี.ค. 53)

"..ตอนนี้ผมคงชินกับเสียงของมัน ลดอีคิวแค่ช่วงเบส ส่วนแหลมก็ปล่อยไว้พอดีกับสีสันของมัน ..เป็นหูฟังที่วิจัยพัฒนาขึ้นมาเพื่อบรรลุคอนเซ็ปเพื่อความผ่อนคลายอย่างแท้จริง ใส่เบาสบายรูหูกว่าเอียร์บัดฯ ด้วยยางซิลิโคนเนื้อนิ่ม ไม่เก็บเสียง ..เมื่อตัดสินใจจับใส่หูแล้วก็ไม่ต้องนึกกังวลกับการจับผิดเสียงที่สมจริงเที่ยงตรงอะไรแบบนั้น ด้วยเสียงที่มีสีสันเอาอกเอาใจหูที่อยากได้ยิน โทนเสียงที่นุ่มหนักอิ่มอบอุ่นแหลมปลายเนื้อเสียงละเอียดเล็กสดใสฉ่ำ ส่วนแหลมต้นเบาลง ทำให้ไม่มีคำว่าเสียงจัดบาด ..ให้เร้นท์เสียงที่กว้างสะอาด เหมือนได้สูดอากาศบริสุทธิสดชื่น ฟังเหมือนระบบที่มีซับวูฟเฟอร์ใช้ร่วมด้วย ให้บรรยากาศคอนเสิร์ตแสดงสดได้ดีมาก ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเราทะลุมิติไปอยู่ท่ามกลางผู้ชมฯ เสียงของมันฟังเหมือนกับการได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่ผ่านไมล์ฯเข้ามิกเซอร์ เครื่องขยาย และออกสู่ลำโพง คือถูกปรับจูนแต่งเสียงออกมาเพื่อการฟังสนุก มิติเวทีบรรยากาศอารมณ์เพลงมาแบบครบเครื่อง อิมเมจตัวเสียงให้จินตนาการเป็นรูปวงดนตรี เวทีกว้างลึกกำลังดี ไม่เหมาะกับแนวร๊อคฯ ผมมักปล่อยไก่จากมันประจำ แบบว่าเผลอร้องเพลง เคาะโต๊ะ ขยับเท้าตาม หรือไม่ก็หลับสบายไปเลย 55.."


"ผมสงสัยว่า... ข้างในเจ้ากระเปราะวงรีใกล้แจ็คนั้น น่าจะมีวงจรฯแบบพาสซีฟฯเพื่อตกแต่งจูนความถี่ให้เสียงเป็นเอกลักษณ์ตามที่ต้องการ เสียงมันไม่น่าจะมาจากการขับตรงจากตัวไดรเวอร์เพียวๆ"


วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

Sony MDR-E484


ค่ำวันหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน.. เมื่อถอดแจ็คออกจากเครื่องเล่นเทปซาวอะเบ๊าท์นั้น นึกอยากทำความสะอาดปัดฝุ่นผงที่ตะแกรงหน้าด้านใน จึงลองแกะหมุนที่ขอบยางดำไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ยั้งไว้ไม่อยากแกะต่อเกรงจะพัง พอลองนำมาใส่ฟังอีกครั้ง..กำ หูดับไปเสียแล้ววว อะไรหว่าแค่หมุนนิดเดียวเอง.. นึกเขกกระบานตัวเองแรงๆ.... ทำได้แต่ตัดพ้ออยู่ทุกวี่วัน ทำเอาเศร้าอาลัยครับ

นำไปร้านซ่อม ตามทวงอยู่หนึ่งปีเต็ม บอกหาไม่เจอ ให้ค่าเสียหายมาหนึ่งพัน พูดไม่ออกจำต้องรับไว้ นำไปซื้อ E848 เขาไม่ให้ลองก่อนซื้อจึงเลือกที่เลขรุ่นมันคล้ายกัน ..พอมีโอกาสเหตุการณ์ที่ทำให้หวนนึกถึง 484 ก็จะตัดพ้ออยู่เรื่อยจนมาถึงปัจจุบัน และด้วยราคา ณ ปัจจุบัน ที่แรง ทำให้ผมคิดว่าคงไม่มีโอกาสจะได้ครอบครองมันอีกแล้ว


แล้วโชคชะตาก็เวียนมาใกล้กันอีกครั้ง เมื่อเพื่อนเกลอมันบอกว่ายังมีอยู่ที่บ้าน แต่สายลอกและไม่มีเสียงไปข้างหนึ่ง ...ผมก็แปลกใจ จำได้ว่ามันซื้อหลังผมแค่สัปดาห์เอง เห็นบอกว่าจะนำไปเป็นของขวัญให้พี่มัน แล้วตอนปัจจุบันนี้พี่มันก็ไปอยู่เมืองนอก ผมก็ไม่คิดว่าหูฟังจะอยู่กับมัน และก็แปลกใจไปอีก ที่มันบอกมาอีกว่า ตอนนั้นซื้อมาสองตัว ตอนนี้ก็อยู่ที่นี่แหล่ะแต่ยังหาไม่เจอ ..โอ้ว เซอร์ไพรส์

ผมบอกมันมาหลายเดือนละให้นำมาให้ จะได้ส่งซ่อมพร้อมกัน กับตัว 848 ของผมที่สงสัยว่าถูกมดแทะไดอะเฟรมฯ เนื่องจากเห็นมดออกมาจากเคสหูฟัง และเสียงก็แตกกระพรือไปข้างหนึ่ง หลังจากที่ซื้อมาใช้ได้แค่ประมาณสามเดือนเอง..กำ พอเจอกันมันบอกลืมตลอด จนเดือนที่ผ่านมาผมจึงบอกจี้ัให้นำมาให้ด่วน จะส่งไปซ่อมแล้ว แต่สุดท้ายผมก็บุกไปเอามาเองที่บ้านมัน 55... - -"

ได้มาก็จับมาถ่ายรูปสภาพตามที่เห็นนี้ ..ตัวหนังสือไม่ถลอกคมชัดเหมือนใหม่ แสดงว่าไม่ค่อยได้ใช้ หุหุ.. สภาพอื่นๆเหมือนไม่ได้รับการดูแลถูกทิ้งขว้าง ..จึงนำไปให้พี่นักเล่นที่รู้จักตรวจสอบ โชคดีที่ตัวไดรเวอร์อีกข้างที่ดับนั้น พอเปลี่ยนสายก็มีเสียงเป็นปกติ ..ผม :D ยิ้มแก้วบวมไปเลย 55.. ..สายที่เปลี่ยนก็ใช้ของ 848 ที่แกะตรวจดูแล้วพบเศษซากมดสามสีตัวที่ไดอะเฟรมพร้อมรูแหว่งโบ๋ทั้งสองข้าง จึงเก็บไว้เป็นอนุสรณ์..








รอยแผลเป็นบาคยาวที่ก้านนั้น เกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัดเปลี่ยนสาย โดยพยายามกดดึงเพื่อถอดเงี่ยงสลักตรงท้ายก้านหูฟังออก เพื่อถอดยางดำหุ้มสายออกจากเคสฯ ด้วยเคสของ 484 ทำจากเซรามิกฯ จึงมีความเปราะทำให้แตกหักได้ง่าย จึงโปรดระวังกันด้วย.. และเมื่อนำใส่หูและกดเล่นเพลง โอ้ววววววววว.. :D เป็นเสียงเดิมๆที่อยากได้ยินได้ฟังอีกครั้งมาแสนนาน กว่าสิบปี...

.....ด้วยความสงสัย เรื่อง 472 จึงเปิดหน้ากากดู แล้วก็เห็นความต่างตามรูป มิน่ามิติเวทีบรรยากาศเสียงมันจึงคล้อยหลังต่างจากน้องของมัน..




Sony MDR-E888 (3)












Sony MDR-E888 (2)










Sony MDR-E888 (1)


จากโบสฯ ก็มามีโอกาสได้เจ้าตองแปดที่อยากฟัง ที่จริงแล้วก็เห็นมาตั้งแต่ได้เจ้า 848 ละ แต่พึ่งมาได้อ่านรีวิวฯเอาก็ไม่กี่เดือนมานี้เอง พอมีโอกาสก็เลยจัดมาลองฟัง ..สายของวันนั้น แกะกล่องไปรษณีย์ใส่ฟัง โอ้ววว.. งานนี้ต้องพึ่งนวมฟองน้ำจริงๆ ซึ่งไม่ได้แนบมาในกล่องด้วย ..ตกดึกถึงบ้านได้ฟองน้ำ เหมือนไก่ได้น้ำรึเปล่า 55 .. โอ้...เสียงดีอย่างที่อ่านรีวิวฯเลย
เมื่อหยิบจับที่ก้านหูฟังขึ้นมาหมุนดูโดยรอบ ผมรู้สึกชอบใจในรูปร่างของมัน มันชวนให้ผมจินตนาการนึกไปถึงสิ่งเร้นลับที่ไม่ได้มีอยู่ในโลกของเรา ด้วยรูปร่างรูปทรงที่ดูแปลกสำหรับผม มีทั้งส่วนพอง ส่วนโค้ง ส่วนเว้า ส่วนแบน ส่วนเยื้อง ส่วนแข็ง รูพรุน ส่วนที่ไม่ได้ส่วน เหมือนรูปปั้นอาร์ตที่ดูไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ฉงนดีแท้ หุ.หุ..

ถึงตอนนี้ก็รู้ไส้พุงกันหมดละ ก็ยังคงประทับใจในบรรยากาศรายล้อมอิมเมจตัวเสียง ฟังได้บรรยากาศอารมณ์เพลง อิมเมจตัวเสียงมีขนาดพอดีสมดุลกับมิติเวทีที่กว้างลึก ฟังสบายเหมือนนั่งชมวงดนตรีในระยะที่กำลังดีได้ภาพพจน์เวทีเป็นรูปวง โทนเสียงให้สีสันไปทางนุ่มลึกอบอุ่นกลางอิ่มปลายแหลมสดใสพลิ้วฉ่ำ แหลมต้นไม่ค่อยมีความกังวานแข็งจัดเอาได้ เสียงฉาบแฉไม่เพราะ เป็นเอกลักษณ์หูโซนี่ยุคนี้ ผมว่าเจ้า EX500 ก็คล้ายตัวนี้ ดีเอ็นเอฯเดียวกัน แต่น้องกลางใหม่จะให้เสียงที่เร็วกระชับกว่า ทำให้ฟังดูสดคมชัดกว่า...

ทริป!..ลองถอดนวมฟองน้ำ และใส่สลับข้างซ้ายขวา จะได้มิติเวทีบรรยากาศอีกแบบ :)